ชื่อสินค้า:
เทียนแกลบ ผักชีลาวต้น
รหัส:
283021
ประเภท:
ราคา:
30.00 บาท
ติดต่อ:
คุณกุสุมา ตุ่นแก้ว
ที่อยู่ร้าน:
จ.เชียงใหม่
ร้านนี้ยังไม่มีการแจ้งเลขทะเบียนพานิชย์
เปิดร้านมาแล้ว 11 ปี 6 เดือน
โทรศัพท์:
ปุ่มติดต่อ:
คำเตือน: โปรดตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการทุจริต การขอชำระเงินปลายทางเมื่อรับสินค้าถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี
รายละเอียด
เทียนแกลบ หรือผักชีลาวต้น (Dill)
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เทียนข้าวเปลือก, เทียนหวาน, เตียนแกบ, ยี่หร่าหวาน, ฮุ่ยเซียง เสี่ยวหุยเซียง (จีนกลาง)
สรรพคุณ
เมล็ดมีรสเผ็ด เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะ ไต และกระเพาะปัสสาวะ ใช้เป็นยากระจายความเย็นในไต ทำให้ไตมีความอุ่น (เมล็ด)
ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (เมล็ด)
ช่วยแก้กระษัย ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือกบดเป็นผง นำมาตุ๋นกับไตหมูรับประทาน (เมล็ด)
เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (เมล็ด)
ช่วยแก้ชีพจรอ่อนหรือพิการ (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการคลั่ง นอนสะดุ้ง (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร กระตุ้นความอยากอาหาร (เมล็ด)
ช่วยแก้อาเจียน (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการไอ (เมล็ด)
ช่วยในการขับเสมหะและละลายเสมหะ (เมล็ด)
เมล็ดใช้เป็นยาขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยแก้อาการปวดท้อง ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือกและพริกไทยอย่างละเท่ากัน นำมาบดรวมกันเป็นผง ใช้ผสมกับเหล้าทำเป็นยาเม็ดลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสงรับประทานก่อนอาหารครั้งละ 50 เม็ด (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการปวดกระเพาะ ปวดท้อง ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือก 8 กรัม, ข่าลิง 8 กรัม, โอวเอี๊ยะ 8 กรัม, หัวแห้วหมูคั่ว 10 กรัม นำทั้งหมดมารวมกันต้มกับน้ำรับประทาน (เมล็ด)
ช่วยแก้ลำไส้อักเสบในเด็ก (เมล็ด)
ช่วยแก้เส้นศูนย์กลางท้องพิการ (เมล็ด)
ชวยแก้อาการปวดท้องน้อย ปวดท้องประจำเดือนของสตรี (เมล็ด)
ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด)
ใช้แก้ลมเย็น มือเท้ามีอาการเย็นหรือชา (เมล็ด)
ใช้แก้อาการปวดหลัง ปวดเอว เนื่องจากไตไม่มีกำลัง ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือกนำมาบดเป็นผง ใช้ตุ๋นกับไตหมูรับประทานเป็นยา (เมล็ด)
เทียนข้าวเปลือกจัดอยู่ในตำรับยา “พิกัดเทียน” ซึ่งประกอบไปด้วยตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งห้า” (เทียนข้าวเปลือก เทียนขาว เทียนดำ เทียนแดง และเทียนตาตั๊กแตน), ตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งเจ็ด” (เพิ่มเทียนเยาวพาณีและเทียนสัตตบุษย์), ตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งเก้า” (เพิ่มเทียนตากบและเทียนเกล็ดหอย) ซึ่งมีสรรพคุณโดยรวมคือเป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยขับลม แก้อาเจียน บำรุงโลหิต และใช้ในตำรับยาหอม
เทียนข้าวเปลือกปรากฏอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) อันได้แก่ตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” และในตำรับ “ยาหอมนวโกฐ” โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลาย คลื่นเหียน อาเจียน ใจสั่น และช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง
นอกจากนี้เทียนข้าวเปลือกยังปรากอยู่ในตำรับยา “น้ำมันมหาจักร” ซึ่งในคำอธิบายพระตำราพระโอสถพระนารายณ์ระบุไว้ว่า น้ำมันขนาดนี้จะประกอบไปด้วย เทียนทั้งห้า (รวมถึงเทียนข้าวเปลือก), การบูร, น้ำมันงา, ดีปลี และผิวมะกรูดสด ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาแก้ลม แก้ริดสีดวง แก้เปื่อยคัน ใช้ทาแก้อาการเมื่อยขบ และใส่บาดแผลที่มีอาการปวด หรือเกิดจากเสี้ยนหนาม หอกดาบ ถ้าระวังไม่ให้แผลถูกน้ำก็จะไม่เป็นหนอง
ประโยชน์ของเทียนข้าวเปลือก
เมล็ดสามารถนำมาใช้ใส่ในอาหารประเภทต้ม ตุ๋น เพื่อช่วยทำให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน หรือจะนำมาอบบดผสมในขนมอบอย่างขนมปัง เค้ก หรือบิสกิต เป็นต้น
ชาวล้านนาจะใช้เมล็ดเทียนข้าวเปลือกเป็นส่วนผสมของพริก ลาบพริก น้ำพริกลาบ ส่วนยอดอ่อนของต้นที่เรียกว่า “ผักชีลาว” จะใช้เป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก ลาวเนื้อสัตว์ต่าง ๆ หรือยำต่าง ๆ[5] (ส่วนนี้ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะใช้ประโยชน์ของต้นเทียนแกลบ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Foeniculum vulgare Mill.) ที่กล่าวถึงในบทความนี้หรือไม่ เพราะอาจจะเป็นประโยชน์ของต้นผักชีลาว (ชื่อวิทยาศาสตร์ Anethum graveolens Linn.) ก็ได้ เนื่องจากทั้งสองชนิดมีลักษณะของต้นและดอกที่คล้ายคลึงกันมาก อีกทั้งยังมีชื่อท้องถิ่นเหมือนกันอีกด้วยว่า “เทียนข้าวเปลือก“)
ในต่างประเทศจะใช้หน่อและใบของต้นเทียนข้าวเปลือกมาใช้ในการประกอบอาการ เช่น ผัด ต้ม ตุ๋น ย่าง หรือรับประทานแบบสด ๆ
มีการใช้เทียนข้าวเปลือก (เข้าใจว่าคือส่วนของเมล็ด) มาใช้แต่งกลิ่นอาหารประเภทเนื้อ ซอส กลิ่นซุป ขนมหวาน ขนมปัง เหล้า ผักดอง และมีการใช้น้ำมันหอมระเหยจากเทียนข้าวเปลือกชนิดหวานในการแต่งกลิ่นยาถ่าย (ช่วยบรรเทาอาการไซ้ท้องได้ด้วย) ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากเทียนข้าวเปลือกชนิดจมจะนำมาใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ครีม เครื่องหอม สบู่ สารชะล้าง และยาทาภายนอก
วิธีใช้สมุนไพรเทียนข้าวเปลือก
ให้รับประทานครั้งละ 3-10 กรัม โดยนำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรืออาจใช้ร่วมกับตัวยาชนิดอื่น ๆ ตามตำรับยาก็ได้
ยาผง ในขนาด 0.3-0.6 กรัม สารสกัดแอลกอฮอล์ (1:1 ในแอลกอฮอล์ 70%) ขนาด 0.8-2 มิลลิลิตร ใช้วันละ 3 ครั้ง หรือในรูปของยาชง (ยาผง 1-3 กรัมชงกับน้ำ 150 มล. สารสกัดของเหลว(1:1 กรัมต่อมิลลิลิตร) ขนาด 1-3 มล. ทิงเจอร์ (1:5 กรัมต่อมิลลิลิตร) ขนาด 5-15 มิลลิลิตร ใช้รับประทานระหว่างมื้ออาหารวันละ 2-3 ครั้ง และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหลาย ๆ สัปดาห์
cr,medthai
สนใจติดต่อ
โทร 089-637-3665
Facebook:สวนแดงจินดา แก้ไขข้อมูลเมื่อ 28 Dec 17 02:15
มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เทียนข้าวเปลือก, เทียนหวาน, เตียนแกบ, ยี่หร่าหวาน, ฮุ่ยเซียง เสี่ยวหุยเซียง (จีนกลาง)
สรรพคุณ
เมล็ดมีรสเผ็ด เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะ ไต และกระเพาะปัสสาวะ ใช้เป็นยากระจายความเย็นในไต ทำให้ไตมีความอุ่น (เมล็ด)
ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (เมล็ด)
ช่วยแก้กระษัย ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือกบดเป็นผง นำมาตุ๋นกับไตหมูรับประทาน (เมล็ด)
เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (เมล็ด)
ช่วยแก้ชีพจรอ่อนหรือพิการ (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการคลั่ง นอนสะดุ้ง (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร กระตุ้นความอยากอาหาร (เมล็ด)
ช่วยแก้อาเจียน (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการไอ (เมล็ด)
ช่วยในการขับเสมหะและละลายเสมหะ (เมล็ด)
เมล็ดใช้เป็นยาขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยแก้อาการปวดท้อง ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือกและพริกไทยอย่างละเท่ากัน นำมาบดรวมกันเป็นผง ใช้ผสมกับเหล้าทำเป็นยาเม็ดลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสงรับประทานก่อนอาหารครั้งละ 50 เม็ด (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย (เมล็ด)
ช่วยแก้อาการปวดกระเพาะ ปวดท้อง ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือก 8 กรัม, ข่าลิง 8 กรัม, โอวเอี๊ยะ 8 กรัม, หัวแห้วหมูคั่ว 10 กรัม นำทั้งหมดมารวมกันต้มกับน้ำรับประทาน (เมล็ด)
ช่วยแก้ลำไส้อักเสบในเด็ก (เมล็ด)
ช่วยแก้เส้นศูนย์กลางท้องพิการ (เมล็ด)
ชวยแก้อาการปวดท้องน้อย ปวดท้องประจำเดือนของสตรี (เมล็ด)
ช่วยขับปัสสาวะ (เมล็ด)
ใช้แก้ลมเย็น มือเท้ามีอาการเย็นหรือชา (เมล็ด)
ใช้แก้อาการปวดหลัง ปวดเอว เนื่องจากไตไม่มีกำลัง ด้วยการใช้เทียนข้าวเปลือกนำมาบดเป็นผง ใช้ตุ๋นกับไตหมูรับประทานเป็นยา (เมล็ด)
เทียนข้าวเปลือกจัดอยู่ในตำรับยา “พิกัดเทียน” ซึ่งประกอบไปด้วยตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งห้า” (เทียนข้าวเปลือก เทียนขาว เทียนดำ เทียนแดง และเทียนตาตั๊กแตน), ตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งเจ็ด” (เพิ่มเทียนเยาวพาณีและเทียนสัตตบุษย์), ตำรับยา “พิกัดเทียนทั้งเก้า” (เพิ่มเทียนตากบและเทียนเกล็ดหอย) ซึ่งมีสรรพคุณโดยรวมคือเป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยขับลม แก้อาเจียน บำรุงโลหิต และใช้ในตำรับยาหอม
เทียนข้าวเปลือกปรากฏอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) อันได้แก่ตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” และในตำรับ “ยาหอมนวโกฐ” โดยเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลาย คลื่นเหียน อาเจียน ใจสั่น และช่วยแก้ลมจุกแน่นในท้อง
นอกจากนี้เทียนข้าวเปลือกยังปรากอยู่ในตำรับยา “น้ำมันมหาจักร” ซึ่งในคำอธิบายพระตำราพระโอสถพระนารายณ์ระบุไว้ว่า น้ำมันขนาดนี้จะประกอบไปด้วย เทียนทั้งห้า (รวมถึงเทียนข้าวเปลือก), การบูร, น้ำมันงา, ดีปลี และผิวมะกรูดสด ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาแก้ลม แก้ริดสีดวง แก้เปื่อยคัน ใช้ทาแก้อาการเมื่อยขบ และใส่บาดแผลที่มีอาการปวด หรือเกิดจากเสี้ยนหนาม หอกดาบ ถ้าระวังไม่ให้แผลถูกน้ำก็จะไม่เป็นหนอง
ประโยชน์ของเทียนข้าวเปลือก
เมล็ดสามารถนำมาใช้ใส่ในอาหารประเภทต้ม ตุ๋น เพื่อช่วยทำให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน หรือจะนำมาอบบดผสมในขนมอบอย่างขนมปัง เค้ก หรือบิสกิต เป็นต้น
ชาวล้านนาจะใช้เมล็ดเทียนข้าวเปลือกเป็นส่วนผสมของพริก ลาบพริก น้ำพริกลาบ ส่วนยอดอ่อนของต้นที่เรียกว่า “ผักชีลาว” จะใช้เป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก ลาวเนื้อสัตว์ต่าง ๆ หรือยำต่าง ๆ[5] (ส่วนนี้ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะใช้ประโยชน์ของต้นเทียนแกลบ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Foeniculum vulgare Mill.) ที่กล่าวถึงในบทความนี้หรือไม่ เพราะอาจจะเป็นประโยชน์ของต้นผักชีลาว (ชื่อวิทยาศาสตร์ Anethum graveolens Linn.) ก็ได้ เนื่องจากทั้งสองชนิดมีลักษณะของต้นและดอกที่คล้ายคลึงกันมาก อีกทั้งยังมีชื่อท้องถิ่นเหมือนกันอีกด้วยว่า “เทียนข้าวเปลือก“)
ในต่างประเทศจะใช้หน่อและใบของต้นเทียนข้าวเปลือกมาใช้ในการประกอบอาการ เช่น ผัด ต้ม ตุ๋น ย่าง หรือรับประทานแบบสด ๆ
มีการใช้เทียนข้าวเปลือก (เข้าใจว่าคือส่วนของเมล็ด) มาใช้แต่งกลิ่นอาหารประเภทเนื้อ ซอส กลิ่นซุป ขนมหวาน ขนมปัง เหล้า ผักดอง และมีการใช้น้ำมันหอมระเหยจากเทียนข้าวเปลือกชนิดหวานในการแต่งกลิ่นยาถ่าย (ช่วยบรรเทาอาการไซ้ท้องได้ด้วย) ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากเทียนข้าวเปลือกชนิดจมจะนำมาใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอาง ครีม เครื่องหอม สบู่ สารชะล้าง และยาทาภายนอก
วิธีใช้สมุนไพรเทียนข้าวเปลือก
ให้รับประทานครั้งละ 3-10 กรัม โดยนำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรืออาจใช้ร่วมกับตัวยาชนิดอื่น ๆ ตามตำรับยาก็ได้
ยาผง ในขนาด 0.3-0.6 กรัม สารสกัดแอลกอฮอล์ (1:1 ในแอลกอฮอล์ 70%) ขนาด 0.8-2 มิลลิลิตร ใช้วันละ 3 ครั้ง หรือในรูปของยาชง (ยาผง 1-3 กรัมชงกับน้ำ 150 มล. สารสกัดของเหลว(1:1 กรัมต่อมิลลิลิตร) ขนาด 1-3 มล. ทิงเจอร์ (1:5 กรัมต่อมิลลิลิตร) ขนาด 5-15 มิลลิลิตร ใช้รับประทานระหว่างมื้ออาหารวันละ 2-3 ครั้ง และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหลาย ๆ สัปดาห์
cr,medthai
สนใจติดต่อ
โทร 089-637-3665
Facebook:สวนแดงจินดา แก้ไขข้อมูลเมื่อ 28 Dec 17 02:15