เพอร์ไลท์

- ราคาแพง

- น้ำหนักมาก

- เศษเพอร์ไรท์อาจลงไปติดในปั๊มและระบบปลูก ทำให้ปั๊มชำรุดเร็ว

- ดินที่มีเพอร์ไลท์ต้องรดน้ำบ่อยๆ ปุ๋ยจะถูกชะล้างออกเร็วขึ้น

- เวลาเก็บผักอาจจะมีเม็ดเพอร์ไลท์ติดไปด้วย

เพอร์ไลต์มีลักษณะเป็นหินสีขาวขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ง่ายต่อการจัดการ ใช้งานได้ยาวนาน มีค่า pH เป็นกลาง ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการหรือจุลินทรีย์ต่อวัสดุปลูก และมีรูพรุนที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวจึงมีคุณสมบัติกักเก็บอากาศและความชื้น รวมถึงช่วยปรับปรุงการระบายอากาศและน้ำได้อีกด้วย

เพอร์ไลท์ เป็นหินภูเขาไฟที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกิดขึ้นจากลาวาที่มีการเย็นอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหินออบซิเดียน เมื่อน้ำทำปฏิกริยากับหินออบซิเดียนเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดหินเพอร์ไลต์ขึ้น

หินเพอร์ไลต์ เมื่อถูกเผาจะเกิดการขยายตัว ส่งผลต่อการดูดซับฟองอากาศของหิน สารที่ได้จากการขยายตัวของหินเพอร์ไลต์นี้ เรียกว่า เพอร์ไลต์

1. ใช้ปรับคุณภาพดินปลูกให้มีความโปร่งและร่วนซุย ช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและระบายน้ำได้ดี ด้วยการใช้เพอร์ไลท์ผสมเข้ากับดินปลูก หรือเวอร์มิคูไลท์ หรือพีทมอสในอัตราส่วน 1:1 โดยสามารถใช้สำหรับการเพาะเมล็ด เพาะต้นกล้า ปลูกพืชทั่วไป และพืชไร้ดิน

2. ใช้ในการปักชำ โดยนำเพอร์ไลท์แช่น้ำจนชุ่มและนำมาปักชำพืช

3. ใช้ทดสอบการงอกของเมล็ดพันธุ์ โดยใช้เพอร์ไลท์ที่แช่น้ำจนเปียกชุ่มมาเป็นวัสดุปลูกแทนการใช้ดิน ทำให้สะดวกและปราศจากเชื้อโรคมากกว่า

4. ใช้โรยที่บริเวณหน้าดินปลูก เพื่อช่วยคงความชุ่มชื้นของหน้าดิน ลดปัญหาดินปลูกแห้งไว ทำให้ไม่ต้องคอยรดน้ำต้นไม้อยู่เป็นประจำ

1. เพอร์ไลต์มีรูปร่างที่แน่นอนและคงสภาพอยู่ได้ ไม่เสื่อมสภาพง่ายเมื่อใช้เป็นวัสดุปลูก

2. มีค่าความเป็นกรด-เบส (pH) ที่เป็นกลาง

3. ไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อพืชและเป็นแร่ธาตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

4. มีคุณสมบัติที่เป็นรูพรุน ทำให้มีอากาศสามารถเข้าไปได้ รากจะะยิ่งดูดซึมได้ดี และรากสามารถหายใจได้ทำให้ระบบรากมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

5. มีคุณสมบัติที่สามารถดูดซับน้ำได้ ไม่ทำให้น้ำขังในดิน

6. เพอร์ไลต์ช่วยดูดสะสมพวกยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช และปุ๋ยเคมีต่างๆ ที่เกษตรกรเติมลงไปในดินไว้ไม่ให้ซึมหายออกไปจากดินเร็วเกินไป

7. เป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของปุ๋ย และยาฆ่าแมลงที่เติมลงไปในดิน

8. สามารถนำไปปรับปรุงดินเสื่อมที่มีความพรุนต่ำ ให้สามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น