ลักษณะพฤกษศาสตร์ของโนรา (3443)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Hiptage beghalensis (Linn) Kurz.
ชื่อวงศ์: MALPIGHIACEAE
ชื่อสามัญ: -
ชื่อพื้นเมือง: กำลังช้างสาร พญาช้างเผือก สะเลา (เหนือ)
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นไม้เลื้อยเถาใหญ่มีเนื้อแข็ง และสามารถเลื้อยไปได้ไกลและรวดเร็วด้วย แต่ถ้าปลูกโนราไว้กลางแจ้งก็อาจจะกลายเป็นไม้พุ่มได้หรือ ก็จะขดเป็นพุ่มเถาโนรามีสีเขียว กลมและเกลี้ยง
ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบสีเขียวเข้มลักษณะใบเป็นรูปขอบขนาน รูปไข่หรือ รูปไข่กลับ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนและมีต่อมนูนอยู่ 2 ต่อม ใบอ่อนจะเป็นสีเทา
ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง และจะมีขน ดอกมีสีขาว หรือสีขาวอมชมพูเรื่อ ๆ มีกลิ่นหอมคล้ายดอกส้มโอ ดอกจะบานอยู่ได้ประมาณ 3-4 วัน ก็จะร่วงและจะมีดอกใหม่ทยอยบายอยู่เรื่อย ๆ ดอกจะมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบหนึ่งมีต่อมนูน มีกลีบดอก 5 กลีบ และแต่ละกลีบจะมีขนาดไม่เท่ากัน มีกลีบใหญ่อยู่ในสุดและจะมีสีเลืองแต้ม กลีบดอกมักจะยู่ยี่ ขอบกลีบดอกจักหรือเนินเป็นครุยมีเกสรตัวผู้ 10 อัน และมี 1 อัน ที่มีขนาดใหญ่กว่าอันอื่น ๆ
ฤดูกาลออกดอก: ประมาณเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์
การขยายพันธุ์: -เพาะเมล็ด
-การตอนกิ่ง เป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดเนื่องจากออกรากง่าย และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมน
-การปักชำ
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอกหอมตลอดวัน ช่วงที่อากาศเย็นจะหอมมาก
ถิ่นกำเนิด: ภาคใต้ของประเทศไทย
ชื่อวงศ์: MALPIGHIACEAE
ชื่อสามัญ: -
ชื่อพื้นเมือง: กำลังช้างสาร พญาช้างเผือก สะเลา (เหนือ)
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นไม้เลื้อยเถาใหญ่มีเนื้อแข็ง และสามารถเลื้อยไปได้ไกลและรวดเร็วด้วย แต่ถ้าปลูกโนราไว้กลางแจ้งก็อาจจะกลายเป็นไม้พุ่มได้หรือ ก็จะขดเป็นพุ่มเถาโนรามีสีเขียว กลมและเกลี้ยง
ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบสีเขียวเข้มลักษณะใบเป็นรูปขอบขนาน รูปไข่หรือ รูปไข่กลับ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนและมีต่อมนูนอยู่ 2 ต่อม ใบอ่อนจะเป็นสีเทา
ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง และจะมีขน ดอกมีสีขาว หรือสีขาวอมชมพูเรื่อ ๆ มีกลิ่นหอมคล้ายดอกส้มโอ ดอกจะบานอยู่ได้ประมาณ 3-4 วัน ก็จะร่วงและจะมีดอกใหม่ทยอยบายอยู่เรื่อย ๆ ดอกจะมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบหนึ่งมีต่อมนูน มีกลีบดอก 5 กลีบ และแต่ละกลีบจะมีขนาดไม่เท่ากัน มีกลีบใหญ่อยู่ในสุดและจะมีสีเลืองแต้ม กลีบดอกมักจะยู่ยี่ ขอบกลีบดอกจักหรือเนินเป็นครุยมีเกสรตัวผู้ 10 อัน และมี 1 อัน ที่มีขนาดใหญ่กว่าอันอื่น ๆ
ฤดูกาลออกดอก: ประมาณเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์
การขยายพันธุ์: -เพาะเมล็ด
-การตอนกิ่ง เป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดเนื่องจากออกรากง่าย และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมน
-การปักชำ
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอกหอมตลอดวัน ช่วงที่อากาศเย็นจะหอมมาก
ถิ่นกำเนิด: ภาคใต้ของประเทศไทย